รีวิวหูฟังอินเอียร์ Sennheiser IE40 Pro ฉบับลองใช้จริงมาเกือบเดือน

ในช่วงประมาณสองเดือนนี้มีหูฟังอินเอียร์ตัวนึงที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย และมีความน่าสนใจมากๆ เข้ามา ก็คือ Sennheiser IE40 Pro ซึ่งผมเองก็เห็นโฆษณาแวะเวียนอยู่บนหน้า timeline วันละ 3 เวลาผ่านพรีเซ็นเตอร์คนแล้วคนแล่าที่เป็นคนใกล้ตัว จนอดใจไม่ไหว กลั้นใจเอามาลองสักครั้งให้หายสงสัยว่าที่เค้าว่ามันดีกันอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะสมคำร่ำลือแค่ไหน กับราคาที่ถือว่าไม่แพงเลยถ้าเทียบกับหูฟังมอนิเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับนักดนตรีในยี่ห้อระดับเดียวกัน

สำหรับยี่ห้อ Sennheiser นักร้อง นักดนตรี ทุกคนคงคุ้นเคยอย่างดี เพราะเป็นเบอร์ต้นๆ ในระดับโลกเรื่องไมโครโฟนและหูฟังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นความคาดหวังจะมีน้อยได้อย่างไร แถมยังโฆษณาออกมาอย่างหรูเริดมากว่าหูฟังอินเอียร์ตัวนี้มีดีพิเศษมากมายที่ผมคงไม่พูดซ้ำ ใครสนใจไป google ดูเองได้เลยที่ product page ของเค้าละกัน

เพราะฉะนั้นการรีวิววันนี้เราจะไม่พูดเรื่องเทคนิคอะไรทั้งนั้น เพราะอ่านเองได้ เรามาว่ากันเรื่องประสบการณ์และความรู้สึกหลังจากใช้งานกันเลยดีกว่า!

เรื่องประสบการณ์การเปิดกล่องต่างๆ สำหรับรุ่นนี้ผมขอไม่พูดเยอะ ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐาน Sennheiser กล่องสวย ดูดี มืออาชีพ ข้างในกล่องมีทุกอย่างที่ควรมี ทั้งซองหูฟัง ทั้งจุกขนาดต่างๆ ให้เปลี่ยนได้ตามขนาดหูและความชอบ แกะออกมาปุ๊บก็เสียบเข้ากับมือถือฟังเพลงกันเลยดีกว่า สำหรับการรีวิวในครั้งนี้ผมจะขอแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนะครับคือ ฟังเพลงทั่วไป, ใช้งานเป็นมอนิเตอร์เล่นดนตรี และสรุปเปรียบเทียบกับหูฟังรุ่นอื่นๆ ที่มีอยู่

ส่วนที่ 1 : ทดสอบฟังเพลงทั่วไป
ความรู้สึกแรกหลังจากที่เปิดฟังเพลงคือ ความกลมกล่อมของแต่ละย่านเสียง ถ้าจำได้ที่ผมรีวิวหูฟัง TRN ไปคราวก่อน ผมได้ให้ความเห็นว่าเบสล้นเกินไป ไม่เหมาะกับหูของผมที่ชอบฟังอะไรแบบ flatๆ แต่สำหรับ IE40 Pro ตัวนี้ บอกเลยว่าฟังเพลงได้ทุกแนวสบายๆ ไม่มีอะไรมากไป น้อยไป เสียงแหลมคมชัดแต่สบายหู เสียงต่ำกระชับแน่นแต่ไม่ล้น เสียงกลางมาแบบพอดีๆ ไม่เด่นเกิน เรียกว่าฟังเพลงยาวๆ ได้ทุกแนว ฟังทั้งวันหูไม่ล้าแน่นอน

แต่ฟังธรรมดาก็คงไม่เรียกว่าเป็นการรีวิว เพราะก่อนหน้านี้เคยได้ยินกิตติศัพท์มามากนักว่า driver ของหูฟังรุ่นนี้มันพิเศษมาก สามารถเร่งเสียงดังได้มากๆ โดยเสียงไม่แตก (distort) ก็เลยลองจัดเพลงแนวเบสหนักๆ แล้วเร่งเสียงขึ้นมาดังๆ แรงๆ ดูซิว่าจะเป็นยังไง ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาน่าประทับใจมาก เสียงมันดังขึ้นอย่างเดียวจริงๆ โดยที่รายละเอียดต่างๆ ไม่หายไป และแทบไม่มีอาการเสียงแตกอย่างที่เคยได้ยินในหูฟังอื่นๆ ตรงนี้เอาคะแนนความประทับใจไปเลย 9/10

ส่วนที่ 2 : ลองใช้งานเป็นมอนิเตอร์เล่นดนตรี
หลังจากฟังเพลงมาระดับนึง ก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่า แล้วถ้าจะเอามาใช้เป็นมอนิเตอร์เล่นดนตรีจะเป็นยังไง เพราะจริงๆ ผู้ผลิตเค้าโปรโมทตัวนี้มาเป็นหูฟังนักดนตรีเลยนะนี่ ก็เลยต้องมาลองกันสักตั้ง

ต้องขอท้าวความตรงนี้ก่อนนิดนึงว่าลักษณะการใช้งานหูฟังมอนิเตอร์ของผม จะเน้นฟังเสียงเปียโนกับวง, เสียงร้องเพลง และเสียงพูด ซึ่งเสียงที่ต้องการได้ยินชัดที่สุดจะหนักไปทางเสียงกลางเสียมาก ทีนี้มาดูกันว่า IE40 Pro จะตอบโจทย์ความต้องการของผมไหม

ความประทับใจแรกกับการทดลองใช้งานตอน soundcheck เสียงหูฟังมือความกระจ่างชัด และมีการจัดวางมิติเครื่องดนตรีต่างๆ ได้ดีทีเดียว ครั้งแรกที่ใส่ปุ๊บ รู้สึกว่าได้ยินเสียงเครื่องดนตรีอื่นบางเสียงที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนชัดเจนขึ้นมา คิดในใจว่าสนุกแน่ๆ ยิ่งเล่นเป็นวงก็พบว่าหูฟังตัวนี้ให้โทนเสียงที่ฟังสบาย ไม่มีความถี่ไหนที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษให้รำคาญ แถมยังให้เสียงเบสที่กระชับชัดเจนกว่าที่คิด เลยคิดว่าดูมีแววดีใช้ได้ ลองใช้ขึ้นเวทีจริงเลยดูเลยละกันว่าจะออกมาเป็นยังไง

สำหรับนักดนตรี หูฟังก็นับว่าเป็นเครื่องดนตรีชิ้นนึงที่ต้องเรียนรู้จักทำความเข้าใจกับมัน และนั่นก็รวมถึงหูฟังตัวนี้ด้วย ถึงแม้ตอน soundcheck เบื้องต้น ทุกอย่างดูจะราบรื่นดี แต่การใช้งานขึ้นเวทีจริงครั้งแรกสำหรับผมกลับผ่านไปอย่างไม่ค่อยน่าประทับใจนัก ปัญหาที่ผมพบมีอะไรบ้าง ขอแชร์ให้ฟังตรงนี้

  1. หูฟังตัวนี้ให้เสียงที่เบากว่าตัวประจำที่ผมใช้อยู่พอสมควรเกือบ 20% ตอน soundcheck แบบผ่านๆ เหมือนจะโอเค แต่พอเล่นจริงปุ๊บ ผมกลับพบว่าเสียงมันเบาเกินไป ก็เลยต้องปรับเร่งความดังที่ตัว personal monitor ของผมขึ้นไปเรื่อยๆ จนแทบจะสุด ซึ่งทำให้คุณภาพเสียงที่ออกมาแตกพร่าไปหมด
  2. ความกลมกล่อมของ IE40 ที่ทำให้ฟังเพลงสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเสียงกลาง กลับเป็นจุดอ่อนสำหรับการใช้งานบทเวทีของผมขึ้นมาเพราะว่าเสียงพูดเสียงร้องต่างๆ ซึ่งเป็นช่วงเสียงกลางที่ผมต้องการได้ยินชัดที่สุด กลับไม่พุ่งนัก แต่จะออกฟังสบายๆ เสียมากกว่า ทำให้รู้สึกว่าต้องออกแรงมากกว่าปกติ อันนี้ดูในรีวิวต่างประเทศ ก็มีคนพูดๆ เหมือนกันว่า หูฟังตัวนี้จะไม่แฟลตซะทีเดียว จะ eq ออกมาเป็นแบบตัว U ซะมากกว่า คือมีการปรับแหลมกับเบสให้เด่นขึ้นมากว่าเสียงกลาง ซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกของผมในการใช้งานครั้งแรกนี้อยู่

หลังจากการทดสอบครั้งที่ 1 ยังไม่ค่อยจะประทับใจนัก แต่ก็ยังไม่ท้อซะทีเดียว (เพราะเสียตังไปแล้วไง 55) ก็เลยลองหาทางปรับแต่งเสียงและระดับความดังต่างๆ ของเสียงดนตรีที่ส่งเข้ามอนิเตอร์ให้ลงตัวมากขึ้นในครั้งต่อๆ ไป ก็พบว่าช่วยแก้ปัญหาได้พอสมควร แต่ส่วนตัวแล้วก็ยังรู้สึกว่าความดังหรือความพุ่งของเสียงในย่านที่ผมต้องการจะได้ยินยังไม่ค่อยจะสะใจนัก แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคุ้นชินของนักดนตรีด้วย เพราะว่าผมได้ลองเอาให้นักดนตรีบางคนใช้ดู เค้าก็แฮปปี้ดีนะ เรื่องแบบนี้ต้องบอกว่ารสนิยมมีผลมากๆ เลยครับ

สรุปเรื่องการใช้งาน IE40 Pro เป็นมอนิเตอร์
ข้อดี : เสียงชัด, รายละเอียดดี
ยังไม่ค่อยลงตัว : เสียงออกแนวสุภาพๆ นวลๆ เน้นไปทางเสียงเพราะมากกว่าความคม, เสียงกลางยังไม่ค่อยพุ่งสะใจ, เสียงแหลมอาจจะมากไปนิดสำหรับบางคน (บางคนอาจจะชอบก็ได้)

************************************

ส่วนที่ 3 : ขอเอา 2 ข้อข้างบนมาเปรียบเทียบกับหูฟังตัวอื่นๆ เพื่อให้เห็นจุดเด่นแบบชัดๆ 
โดยหูฟังตัวอื่นๆ ที่ผมใช้เป็นประจำคือ
1. Westone UM Pro 30 ซึ่งเป็นหูฟังซีรี่ย์ที่ผมใช้มาตั้งแต่แรก เมื่อ 6 – 7 ปีก่อน ราคาหมื่นปลายๆ
2. TRN V80 หูฟัง ฟังเพลงราคาประหยัดพันต้นๆ ที่ได้มารีวิวคราวก่อน แต่เป็นหูฟังหลักในการฟังเพลงทั่วไปในชีวิตประจำวัน ณ ตอนนี้

การฟังเพลง : 
– Westone : ถึงแม้จะเป็นหูฟังราคาแพงที่สุดที่ผมมี แต่เป็นหูฟังที่ผมใช้ฟังเพลงน้อยที่สุด ด้วยความแฟลตของเสียง ทุกอย่างออกมาเท่ากันจนมันดูแบนไปหมดทำให้เวลาฟังเพลงแล้วไม่ค่อยสนุกนัก แต่ก็เป็นหูฟังที่ให้เสียงกลางฟังชัดโดดเด่นที่สุด ถ้าฟังเพลงเทียบกับ IE40 โดยคงความดังทุกอย่างเท่าเดิม เสียงร้องที่ออกจาก Westone จะมีความดังและคมชัดมากกว่ากันแบบเห็นได้ชัดมากๆ (7/10)
– TRN : อย่างที่เคยรีวิวไปว่า ฟังเพลงสนุกเป็นแนวๆ ถ้าชอบเบสก็ใช่เลย แต่บางแนวก็ไม่เหมาะ แต่ดีคือมีสาย bluetooth พกสะดวก (8/10)
– IE40 Pro : มีความสมดุลย์กลมกล่อม ฟังเพลงได้ทุกแนว ฟังได้นานๆ ไม่ล้า เสียงดังก็ไม่แตก ถ้าให้เลือกตัวเดียวมาฟังเพลง ผมเลือกตัวนี้! (9/10)

การใช้เป็นมอนิเตอร์เล่นดนตรี :
– Westone : เสียงดัง ฟังชัด จัดจ้าน เป็นธรรมชาติที่สุด และด้วยความเด่นของเสียงกลาง ทำให้เสียงร้องเสียงพูด พุ่งเข้าหูชัดเจนมาก โดยไม่ต้องเร่งความดังมาก แต่เวลาเล่นเป็นวง อาจจะฟังนัวๆ ได้ยินรายละเอียดไม่ชัดมาก เพราะทุกอย่างจะมาเท่าๆ กัน แถมยังต้องแลกกับราคาที่แพงกว่า IE40 ตั้งสามเท่า! (8/10)
– IE40 Pro : เสียงกลมกล่อม ฟังเพราะ เบสกระชับ มีความปรุงแต่งเล็กน้อย แต่ก็ไม่เสียความเป็นธรรมชาติ รายละเอียดชัดกว่า Westone แต่ไปเสียคะแนนเรื่องความดังและเสียงกลางที่ถูกกดเอาไว้ไปนิด เท่าที่ลองมาเวลาเล่นในเวทีเล็กๆ ถือว่าเอาอยู่ แต่เวทีใหญ่ที่ต้องเปิดให้ดังขึ้น ยังรู้สึกว่ายังไม่ค่อยสะใจ ใครชอบฟังอินเอียร์แบบดังๆ พุ่งๆ อาจจะยังไม่โดนนัก (7/10)
– TRN : ตัวนี้เค้าออกแบบมาชัดเจนว่าเป็นหูฟังฟังเพลง ผมเคยเอามาลองแค่ soundcheck ก็พบว่าเสียงปรุงแต่งมากไปนิด เลยไม่คิดจะลองใช้จริง เอาเป็นว่าเก็บไว้ใช้แก้ขัดยามลืมเอาหูฟังหลักมาก็น่าจะพอได้ 55 (5/10)

************************************

สรุปของสรุป IE40 Pro เป็นหูฟังมอนิเตอร์สำหรับการเล่นดนตรีที่ดีและน่าสนใจมากๆ ตัวหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะสำหรับทุกคน ขึ้นอยู่กับรสนิยมและสไตล์การเล่นดนตรีด้วย แต่ถ้ามันใช่สำหรับคุณ การที่มีหูฟังแจ่มๆ สักตัวนึงที่เอาไว้ใช้ได้ทั้งเล่นดนตรีและฟังเพลงในราคาประมาณ 4,390 บาทนี้ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเลยทีเดียว

ปิดท้าย ใครสนใจหูฟังรุ่นนี้ ติดต่อที่นี่เลยขอรับ Egadget Sound ศูนย์รวมลำโพงและหูฟัง

อยู่ดีๆ ก็มีหูฟังส่งมาให้ลองและช่วยรีวิว โดยไม่ให้ข้อมูลอะไรเลย ไม่บอกแม้กระทั่งยี่ห้อและรุ่น จนกระทั่งได้รับของ ผมก็เลยขออนุญาตรีวิวแบบ Blind test คือรีวิวแบบไม่เปิดดูรายละเอียดของสินค้า หรือแม้กระทั่งราคาของมัน แล้วเดี๋ยวมาดูกันว่าผมจะมีข้อสรุปว่ายังไงบ้าง

ข้อมูลเดียวที่มีอยู่หน้ากล่องคือ ยี่ห้อ TRN Audio (ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน) รุ่น V80 เป็น Audiophile Quad Driver Hybrid In-Ear Monitor ซึ่งจากคำอธิบายนี้ ก็พอจะสร้างความคาดหวังได้ว่าเป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อฟังเพลงมากกว่าที่จะใช้เล่นดนตรีบนเวที แถมยังมี 4 Driver ซึ่งมากกว่าตัวที่ผมใช้ประจำอยู่เสียอีก ดูแล้วเริ่มมีอาการคันหู อยากลองฟังเสียแล้ว เนื่องจากน้องที่ส่งหูฟังมาให้รีวิวนี้ ชอบมีอะไรเด็ดๆ มาป้ายยาผมให้อยากเสียตังอยู่เรื่อย 555

ก่อนลองฟัง ขอเล่าประสบการณ์ unbox นิดนึง ให้ดูเป็นนักรีวิวอาชีพสมกับที่น้องอุตส่าห์ส่งมาให้ลอง

เริ่มจากเปิดกล่องมา เจอหูฟังสีฟ้า หน้าตาดูดี บอดี้มีน้ำหนัก ทำจากอะไรก็ไม่รู้แต่น่าจะเป็นโลหะชนิดนึง ไม่ใช่พลาสติคแบบถูกๆ แน่นอน

ในกล่องแถมจุกมาให้อีก 2 คู่ เป็นไซส์เล็กกับใหญ่ อันที่ใส่ติดหูฟังมาให้เป็นไซส์กลาง ส่วนสายที่แถมมาเป็นสายถัก ดูทนทานแข็งแรงดีครับ ชอบที่สายมีการดัดโค้งเหน็บหูมาให้เรียบร้อย พร้อมระบุชัดเจนว่าข้างไหน L หรือ R ไม่ต้องมาเดาเองให้งงเหมือนบางยี่ห้อ ตัว Connector เป็นแบบ 2 pin นะครับ น่าจะเอาไปสลับเปลี่ยนสายกับตัวอื่นที่เป็นแบบเดียวกันได้ พอใส่เข้าไปก็กระชับพอดีหู ถึงตรงนี้ก็พร้อมที่จะได้ลองฟังเสียงกันละ

เครื่องที่ใช้ลองฟังคือ iPhone6 เปิดฟังเพลงจาก Apple Music บ้านๆ นี่แหละ ไม่ไช่เป็นเครื่องเล่นหรือไฟล์เพลงเลิศหรูอะไร (ความจริงมี iPhone X แต่มันไม่มีรูเสียบหูฟังปกติไง ก็เลยต้องยืมเครื่องคนอื่นมาลอง)

ต้องท้าวความก่อนนิดนึง ว่าปกติผมใช้ In Ear เยอะที่สุดกับการเล่นดนตรีบนเวที และชอบหูฟังที่มีความ Flat มีเสียงธรรมชาติที่สุด ซึ่งหูฟังรุ่นที่ใช้มาตลอดระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปีจนชิน และไม่เคยเปลี่ยนรุ่นเลยก็คือ Westone UM3x ราคาหมื่นปลายๆ และรสนิยมในการฟังเพลงของผมก็จะเป็นคนชอบเสียงที่ธรรมชาติที่สุด ไม่ค่อยชอบอะไรที่ color เน้นย่านโน่น กดย่านนี้ ออกมาแบนๆ จากสตูดิโอนี่แหละ ชอบนัก ถ้าเทียบกับอาหารก็คงเป็นคนที่ชอบกินแบบไม่ปรุงอะไร เพื่อจะได้รู้รสมือจริงๆ ของเชฟ ดังนั้นการรีวิวเรื่องเสียงของหูฟังตัวนี้ ก็จะมีรสนิยมของผมมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกับท่านผู้อ่านซะทีเดียว กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านนะขอรับ**

เพลงที่ใช้ในการฟังเพื่อรีวิว ก็จะพยายามให้มีหลากหลายสไตล์ เพื่อดูว่าเพลงสไตล์ไหนจะเหมาะกับหูฟังรุ่นนี้ในความรู้สึกผมมากที่สุด ซึ่งปกติผมจะมี Track ประจำตัวในการลองหูฟัง ลองลำโพง ที่บางเพลงใช้มามากกว่า 10 ปี เพื่อความคุ้นเคยอยู่แล้ว มาเริ่มกันเลยดีกว่า

Track 1 : R&B – Brian Mcknight (Back at one) เปิดมาเพลงแรกมีความประหลาดใจเล็กๆ กับเสียงเบสที่ลึก นุ่ม แต่มาเป็นก้อนชัดมาก เสียงร้อง ย่านเสียงกลางมีความเด่น แต่ฟังนุ่มนวลกำลังพอดี เสียงแหลมได้ยินชัดเจน แต่ไม่ทิ่มหูจนรำคาญ รวมๆ แล้วค่อนข้างลงตัว แต่ฟังไปนานๆ ผมกลับรุ้สึกว่าเสียงเบสจะล้นเกินไปนิดสำหรับรสนิยมของผม แต่ทั้งนี้ ถ้าออกไปเดินฟังบนถนนที่มีเสียงข้างนอกรบกวน มันอาจจะพอดีก็ได้ ไว้เดี๋ยวไปลองแล้วจะมาอัพเดทให้ฟัง เอาเป็นว่าถ้าใครชอบฟัง R&B หรือ Pop ที่เน้นเสียงเบสนุ่มๆ อุ่นๆ ตัวนี้ไม่น่าจะผิดหวัง

Track 2 : Rock – Jesus Culture (Live in New York) มาฟังอะไรที่ Rock ขึ้นมาหน่อยนึง จริงๆ ผมไม่ใช่สาย Rock แรงๆ ชอบแบบฟังสบายๆ ซึ่ง Charactor ของหูฟังตัวนี้ที่ทำเสียงกลางได้ดี ทำให้ฟังเสียงกีตาร์แผดๆ ได้นานโดยไม่เมื่อยหู แต่ว่าเบสอาจจะเยอะและโดดเกินไปหน่อยสำหรับคนที่ชอบอะไรที่ Balance มากๆ

Track 3 : Jazz Fusion – Dave Grusin หลบมาฟังเปียโนแจ๊ส สไตล์ Fusion นิดนึง อันนี้ถือว่าฟังเพลินดีทีเดียว เบสกับกลอง ฟังออกมาเป็นลูกๆ ได้กรู๊ฟเพลินๆ ฟังแล้วเผลอนั่งโยกหัวแบบไม่รู้ตัว เสียงกลาง เสียงแหลมออกมากำลังเพราะ

Track 4 : Acoustic Jazz – Joshua Redman มาฟัง Jazz แบบอคูสติค เสียง Saxophone มาแบบเพราะเลย เสียงกลองก็ฟังธรรมชาติ แต่ที่รับไม่ค่อยได้คือเสียง Double Bass ล้ำหน้าไปเยอะ อันนี้ผมไม่ค่อยชอบละ

Track 5 : Classic – Brahms Symphone no. 3 ด้วย Character ของหูฟังตัวนี้ ที่เบสมีความโดดเด่นมาก ทำให้การฟังเพลงคลาสสิค ค่อนข้างจะผิดธรรมชาติไปมาก เสียง Low End มาเยอะเกิน แต่ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า นี่เป็นรสนิยมส่วนตัวล้วนๆ คนที่ชอบเสียงเบสเค้าก็มีอยู่เนอะ

Track 6 : Acoustic Pop – Jason Mraz เพลงประเภทนี้ ถือว่าได้ใช้จุดเด่นเรื่องเสียงกลางของหูฟังรุ่นนี้ได้ดีทีเดียว ฟังชัด แต่ไม่กระด้าง ส่วนเบสก็ถือว่ากลมกลืนระดับนึงกับประเภทของเพลง

สรุปเรื่องเสียง :
High – ฟังสบาย ไม่ล้าหู
Mid – ชัด แต่นุ่มนวล ฟังเสียงร้องเสียงเครื่องดนตรีที่เป็นโทน Mid เพราะเลย
Low – ชัดๆ มาเป็นลูก แต่อาจจะฟังล้ำหน้าไปนิดนึง สำหรับคนที่ไม่เน้นเบส (ย้ำแล้วย้ำอีก 555) แต่ใครชอบเสียงเบส ผมว่าน่าจะชอบ (ตรงนี้เดี๋ยวจะลองไปฟังข้างนอกในที่ๆ มีเสียงรบกวนอีกที ว่าจะรู้สึกเปลี่ยนไปไหม)

มาถึงตรงนี้ ผมก็ยังไม่รู้ราคาของหูฟังตัวนี้เลย แต่ขอเดาไว้ก่อนว่าน่าจะอยู่พันปลายๆ ถึงสองพัน ดูจากจำนวน Driver และคุณภาพของวัสดุที่ใช้ รวมถึงเสียงที่ออกมาดีผิดคาดเลยทีเดียว สำหรับการฟังเพลง
แต่พอไปดูเฉลยที่เว็บของ Egadget Sound ศูนย์รวมลำโพงและหูฟัง ที่ส่งมาให้รีวิว พบว่าราคาอยู่ที่ 1,340 บาทเท่านั้น ถูกกว่าที่คิดไปประมาณนึงทีเดียว!

เอาเป็นว่า ใครที่อยากหาหูฟังสำหรับฟังเพลงเพราะๆ นุ่มๆ เบสเป็นลูกๆ ราคาไม่แรง ตัวนี้ถือว่าน่าลองมากๆ ครับ ส่วนหูฟังที่ผมได้มาตอนนี้ ลูกชายยึดไปฟังเรียบร้อย 

ขอขอบคุณ Egadget Sound ศูนย์รวมลำโพงและหูฟัง อีกครั้งนึงที่ส่งหูฟังดีๆ มีคุณภาพมาให้ได้ลองและรีวิวครับ

ปิดท้ายทริปการเดินทางยาวต่อเนื่อง 2 สัปดาห์กับ #สิงคโปร์รีวิว รีวิวสนามบิน Changi ให้ครบซีรี่ย์ ตามที่เคยรีวิว Terminal 2 กับ 4 ไว้แล้วนั้น ครั้งนี้ประจวบเหมาะได้มาขึ้นเครื่องที่ Terminal 1 กับสายการบิน Jetstar จึงได้โอกาสรีวิว Terminal เก่าแก่แห่งนี้เสียที

ก่อนที่จะพูดรายละเอียดใดๆ ขอตั้งคำขวัญประจำ Terminal 1 ให้ก่อนดังนี้ว่า

“Terminal กว้างขวาง ห้างร้านมากหลาย
ที่นั่งคอยแสนสบาย มากมายของกิน”

Terminal 1 ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นอาคารแรก ที่เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1981 แต่อย่าคิดว่าจะได้พบกับอาคารโบราณเหมือนดังสนามบินเก่าแก่ในบางประเทศ เพราะได้รับการปรับปรุงใหม่จนดูไม่ออกว่านี่คืออาคารเก่าที่ผ่านการใช้งานมา 30 กว่าปี

ระบบ check in ที่นี่ถูกอัพเกรดเป็นระบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด ตั้งแต่การตรวจพาสปอร์ต โหลดกระเป๋า จนถึงตม. ซึ่งข้อดีคือลดการทะเลาะถกเถียงระหว่างผู้โดยสารกับพนักงานในเรื่องการโหลดกระเป๋าอย่างสิ้นเชิง ระบบคอมพิวเตอร์คำนวนน้ำหนักและขนาดกระเป๋าให้แบบเป๊ะๆ เกินไม่ได้แม้แต่หนึ่งกรัม ไม่งั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้โหลด

เข้ามาข้างใน พื้นที่กว้างขวางพร้อมกับร้านค้าต่างๆ ที่มีให้ช็อปเยอะมาก แต่คนกลับไม่เยอะเหมือน T2 ที่ดูค่อนข้างเบียดเสียด ทำให้มีที่นั่งและนอนคอยได้อย่างสบายๆ เกือบทุกมุม และบางมุมมีหนังให้ดูด้วย ใครที่ชอบธรรมชาติที่นี่ยังมีสวนกระบองเพชรให้ชมอีกด้วย

ของกินมีกระจายอยู่ในจุดต่างๆ หลากหลายทั้งอาหารฝรั่งและอาหารท้องถิ่น ราคาก็ไม่ต่างกับ food court ทั่วไปมากนัก เรียกว่าหิ้วท้องว่างๆ มานั่งกินรอเครื่องออกได้สบาย ไม่ต้องกลัวโดนโขกราคาเหมือนสนามบินบ้านเรา

สำหรับคนที่มีลูกหลาน ที่นี่ก็มีสไลเดอร์ให้เล่นเช่นเดียวกับ T2 แต่ดูใหม่กว่าและน่าสนุกกว่าเสียอีก

สรุปง่ายๆ อีกครั้ง Terminal 1 นั้นดีงาม น่าประทับใจ เสียดายแค่ว่าสายการบินยอดนิยมที่เรานั่งบ่อยๆ ไม่ได้ขึ้นที่นี่แค่นั้นเอง

 

ถ้าถามว่าผมอิจฉาอะไรในประเทศสิงคโปร์บ้าง หนึ่งในคำตอบแรกๆ คือระบบการขนส่งมวลชน แน่ที่สุดว่าผมไม่ได้อิจฉาราคารถยนต์ซึ่งแพงกว่าบ้านเราเป็นเท่าตัว และใช้ได้เพียงคันละ 10 ปี หรือใบอนุญาตมีรถยนต์ซึ่งเป็นกระดาษธรรมดามูลค่าใบละล้าน แต่อิจฉาที่แม้คุณจะไม่มีรถยนต์เลย คุณก็ยังเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยสะดวกปลอดภัยในราคาที่เหมาะสมกับค่าครองชีพทุกระดับ ทั้งจักรยาน รถเมล์ รถไฟฟ้า แท็กซี่

รถเมล์ ที่นี่นั่งสบายจนขี้เกียจขึ้นรถไฟฟ้า มาตรงเวลา และเปิดให้นักพัฒนาแอ็พอิสระ เข้ามามีส่วนสร้างแอ็พให้การขึ้นรถเมล์สะดวกขึ้นไปอีก อย่างเช่นแอ็พในภาพที่เอามาให้ดู สามารถคำนวนเวลารถทุกสายล่วงหน้า 3 คัน และบอกล่วงหน้าว่าเป็นรถแบบไหน ที่นั่งแน่นมั้ย และที่ชอบสุดๆ คือ สั่งให้แจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงป้ายที่จะลงได้ ให้หลับในรถกันสบายๆ โดยไม่ต้องพึ่งฌาณวิเศษปลุกให้ตื่นตรงป้ายแต่อย่างใด

พาทัวร์สนามบินชางฮี สิงคโปร์ Terminal 4 หลังจากที่พาไปทัวร์ Terminal 2 ไปแล้วในคราวก่อน

Terminal 4 เป็นอาคารผู้โดยสารล่าสุด ที่เพิ่งเปิดใช้บริการเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง ซึ่งถ้าเทียบกับ Terminal 2 ก็อายุห่างกันแค่ 28 ปีแค่นั้น มาดูกันเลยดีกว่าว่าอาคารใหม่เป็นยังไงบ้าง

1. ความทันสมัย : ทุกอย่างทันสมัยและพยายามใช้คนให้น้อยที่สุด ตั้งแต่ระบบเช็คอินอัตโนมัติ, ต.ม.อัตโนมัติ ทั้งคนสิงคโปร์และต่างชาติ, ขนาดที่ตรวจสัมภาระยังมีระบบลำเลียงกระบะใส่ของกลับไปคืนที่อัตโนมัติให้คนอื่นใช้ต่อ ยันไปถึงระบบ Boarding อัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นสนามบินใหม่ที่ใช้คนทำงานน้อยกว่าสนามบินเดิมมากๆ

2. ความหรูหรา สวยงาม : เดินเข้ามาเหมือนเดินห้างเก๋ๆ ไฮโซ ทุกอย่างใหม่ สวย อาร์ต ผสมผสานเทคโนโลยีอะไรได้ พี่ทำหมด มีตึกโบราณจำลองนั่งมองอยู่ดีๆ มีคนที่เป็น 3D กราฟฟิคเปิดหน้าต่างมาทักทายให้ตกใจกันได้ด้วย หลายคนน่าจะชอบ

3. ร้านค้า : มีเสื้อผ้า แบรนด์เนมไปจนถึง Uniqlo อุปกรณ์เทคโนโลยี มีครบ แต่ไม่หลายร้านเหมือน Terminal 2 เดินแป๊บๆ ก็เบื่อ คนเดินกันบางๆ ตา

4. ของกิน ด้านนอกเยอะกว่าข้างใน แนะนำว่ากินข้างนอกแล้วค่อยเข้ามา ส่วนราคาเท่าห้างปกติ ไม่บวกเว่อร์ๆ เหมือนสนามบินบางแห่ง

5. สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับครอบครัว อันนี้แพ้ Terminal 2 หลุดลุ่ย เห็นแค่รถเข็นเด็กให้บริการกับโต๊ะเล่นเกมส์แค่จุดเดียว เด็กๆ อาจเบื่อได้ง่ายๆ

สรุป :

Terminal 2 = เซ็นทรัล
Terminal 4 = เกสรพลาซ่า